บล็อกทันเหตุการณ์

  • http//pututani
  • pututani

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เคอร์ฟิวกรุงเทพฯ จลาจลทั่วประเทศ!


เคอร์ฟิวกรุงเทพฯ จลาจลทั่วประเทศ!
WEDNESDAY, 19 MAY 2010 18:51
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา


รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวทั่วกรุงเทพฯ ห้ามประชาชนออกจากบ้าน 2 ทุ่มถึง 6 โมงเช้า หลังมวลชนเสื้อแดงก่อจลาจลทั่วกรุง เผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน
โรงหนังสยาม พร้อมธนาคารอีกหลายแห่ง เสียงระเบิดตูมตามตลอดเวลา เหตุไม่พอใจรัฐบาลใช้กำลังทหารบุกสลายม็อบตั้งแต่เช้ามืด พร้อมฉุนแกนนำยอมมอบตัว-ประกาศยุติ
ชุมนุม กทม.สรุปเพลิงเผาสถานที่สำคัญ 15 จุด วิกฤติลามอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือและอีสาน องค์กรสื่อถูกบุก-ไล่ล่า

รัฐบาลตัดสินใจประกาศมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถาน หรือ "เคอร์ฟิว" ระหว่างเวลา 20.00-06.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.2553
เพื่อควบคุมสถานการณ์จลาจลทั่วกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายหลังทหารใช้กำลังสลายการชุมนุม
ของกลุ่มคนเสื้อแดงหลายจุดในกรุงเทพฯ กระทั่งแกนนำผู้ชุมนุม 6 คนยอมเข้ามอบตัวและประกาศยุติชุมนุม แต่ก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

เวลา 16.00 น.วันที่ 19 พ.ค. ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ออกประกาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเมื่อเวลา 16.00 น.
วานนี้ ประกาศเคอร์ฟิวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ระหว่างเวลา 20.00 น.วันที่ 19 พ.ค. ถึงเวลา 06.00 น.วันที่ 20 พ.ค.
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

การประกาศเคอร์ฟิวดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังกลุ่มคนเสื้อแดงก่อจลาจลหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ เนื่องจากไม่พอใจที่ฝ่ายรัฐบาลส่งกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วม
ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้งเวทีย่อยและจะบุกเข้าเวทีหลักที่ราชประสงค์ จนแกนนำยอมประกาศยุติชุมนุม ทั้งนี้ มวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่
ล้วนแสดงความไม่เห็นด้วยที่แกนนำยุติชุมนุม จึงออกปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลด้วยรูปแบบต่างๆ เอง

ตี 3 ดีเดย์รถหุ้มเกราะเคลื่อนประชิดม็อบ

ทั้งนี้ ปฏิบัติการ "กระชับวงล้อม" พื้นที่ชุมนุมเวทีราชประสงค์ของทหาร ตำรวจ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 03.30 น.เช้ามืดวันที่ 19 พ.ค.มีรถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะ
จำนวน 7 คัน รถบัสทหารกว่า 20 คัน ภายในมีเจ้าหน้าที่ทหารเต็นคันรถ วิ่งผ่านถนนสีลมมุ่งหน้าศาลาแดง และเริ่มดาหน้าเข้าคุมพื้นที่และปากซอยสำคัญ

ช่วงเช้า รถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะได้เคลื่อนเข้ารื้อถอนทำลายบังเกอร์ของการ์ด นปช.ซึ่งใช้ยางรถยนต์และไม้หลาวแหลมจำนวนมากบริเวณหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
แต่ปฏิบัติการชะงักเป็นช่วงๆ เนื่องจากเจอระเบิดขว้างและระเบิดเครโมวางอยู่ เกรงว่าจะมีการระเบิด ช่วงนั้นเริ่มมีเสียงปืนดังขึ้นประปราย

ด้านความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ซึ่งเปิดเวทีย่อยอยู่หลายแห่ง อาทิ คลองเตย ใต้ทางด่วนดินแดง ได้เริ่มเคลื่อนไหวตอบโต้ โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งบุกเผา
อาคารของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง

สถานการณ์บริเวณนั้นตึงเครียดหนัก กลุ่มผู้ชุมนุมแสดงอาการโกรธแค้นนักข่าว ไม่ยอมให้เข้าไปถ่ายภาพหรือรายงานข่าว บางคนยังปรี่จะเข้าทำร้ายบนถนนราชดำริ
หน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ต่อเนื่องถึงแยกสารสิน กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผายางรถยนต์จำนวนมหาศาลจนเกิดกลุ่มควันหนาทึบพัดเข้าไปในโรงพยาบาล จนทางโรงพยาบาลต้อง
อพยพผู้ป่วย ทั้งนี้การเผายางรถยนต์ยังเกิดขึ้นอีกหลายจุด อาทิ บนถนนพระรามที่ 4 หน้าชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งเพลิงได้ลุกลามไปไหม้อาคารพาณิชย์ในย่านนั้น
ด้วยปฏิบัติการในช่วงเช้าตรู่เป็นการรุกคืบเข้าไปยังจุดที่มีข่าวว่ากลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะกองกำลังต้องสงสัยติดอาวุธคุมพื้นที่อยู่ อาทิ ภายในสวนลุมพินี
บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 กระทั่งสามารถยึดพื้นที่เป้าหมายทั้งหมดได้เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.

แกนนำยอมมอบตัว-ยุติชุมนุม-ม็อบโวย

ช่วงนั้นจุดปะทะเหลือเพียง 2 จุด คือแยกสารสินก่อนพุ่งเข้าแยกราชประสงค์ มีการยิงตอบโต้กันอย่างดุเดือด เสียงระเบิดดังเป็นระยะ มีการ์ด นปช.
และผู้สื่อข่าวต่างประเทศจากอิตาลีเสียชีวิต กับที่บ่อนไก่มีทหารถูกซุ่มยิงบาดเจ็บสาหัส
เวลาประมาณ 13.29 น.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.พร้อมด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธาน นปช.และแกนนำคนอื่นๆ ขึ้นเวทีราชประสงค์
ประกาศยอมมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่าเป็นการนำอิสรภาพของแกนนำไปแลกกับชีวิตของผู้ชุมนุม ไม่ให้มีการเสียชีวิตไปมากกว่านี้ โดยนายณัฐวุฒิ ย้ำว่า การต่อสู้ยังไม่จบ และจะกลับมาอีก
อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ซึ่งโดยมากเป็นผู้หญิงได้แสดงความไม่พอใจ โห่ร้องด้วยเสียงอันดัง และตะโกนไม่ยอมยุติชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมผู้หญิงหลายคนถึงกับร้องไห้
โดยเฉพาะเมื่อ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า "วันนี้ไม่ใช่วันของเรา"
ขณะที่ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำสายฮาร์ดคอร์ ปรากฏว่าหลบหนีออกจากที่ชุมนุมไปก่อนตั้งแต่ช่วงสาย แต่ไปไม่รอด ถูกตำรวจจับได้ย่านเพลินจิต
และถูกคุมตัวไปสอบปากคำยังค่ายทหารแห่งหนึ่ง
ศอฉ.สั่งหยุดใช้ปฏิบัติการทางทหาร
เวลา 13.41 น.นายจตุพร นายณัฐวุฒิ นายวิภูแถลง พร้อมแกนนำจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางเท้าเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับเวทีราชประสงค์
โดยมีการ์ด นปช.ตามคุ้มกันอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ นายจตุพรได้ตรงเข้าไปกราบโต๊ะหมู่บูชา ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่นายณัฐวุฒิใช้
ไมโครโฟนสื่อสารกับมวลชนอีกรอบ ย้ำว่าขอให้เดินทางกลับบ้าน แล้วกลับมาเจอกันใหม่ เพราะจุดยืนยังไม่เปลี่ยนแปลง
เวลา 14.00 น.พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.ออกแถลงสั่งให้กำลังพลทั้งทหารและตำรวจหยุดปฏิบัติการ หลังควบคุมสถานการณ์ภาพรวมเอาไว้
ได้ พร้อมเตือนประชาชนผู้ชุมนุมให้ออกนอกพื้นที่ โดยไปรวมตัวที่สนามศุภชลาศัยเพื่อให้ทางราชการส่งกลับบ้าน
สถานการณ์พลิก-แดงก่อจลาจลทั่วกรุง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ได้พลิกผัน เพราะมวลชนคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล และการประกาศยุติชุมนุมของแกนนำ ได้ก่อจลาจลไปทั่วกรุงเทพฯ
โดยเมื่อเวลา 14.15 น.มีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังระงมรอบๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการทำลายข้าวของและตู้โทรศัพท์ รวมทั้งเริ่มจุดไฟเผาสถานที่ต่างๆ
อาทิ ธนาคาร ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน โรงภาพยนตร์สยาม กลุ่มควันหนาทึบ
เวลา 14.25 น.บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร มีการเผายางรถยนต์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเสียงปืนและเสียงระเบิด
ขณะเดียวกันเกิดเพลิงไหม้ใกล้กับธนาคารนครหลวงไทย สาขาริมถนนราชปรารภ นอกจากนั้นยังมีการรวมตัวกันของแนวร่วมคนเสื้อแดง ใช้รถจักรยานยนต์ก่อกวนไปทั่ว
อาทิ ทุบทำลายตู้โทรศัพท์ ไฟจราจร ป้อมตำรวจ
เวลา 14.35 น.บริเวณแยกสามย่าน ถนนพระรามที่ 4เชิงสะพานไทย-ญี่ปุ่น มุ่งหน้าไปยังหัวลำโพง แนวร่วมคนเสื้อแดงนำรถประจำทางจอดขวางถนน
และจุดไฟเผา
กทม.สรุปก่อนค่ำเผาเมืองแล้ว15 จุด
พ.ต.อ.พิชัย เกรียงวัฒนศิริ รองผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (สปภ.)กรุงเทพมหานคร (กทม.)กล่าวเมื่อเวลา 16.00 น.
ว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นมีเหตุเพลิงไหม้ตามสถานที่ต่างๆ อาทิ ย่านราชประสงค์ เกิดเหตุเพลิงไหม้ 6 จุด ได้แก่ 1.โรงภาพยนตร์สยาม ซึ่งถูกเพลิงเผาจนถล่ม
2.ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน 3.ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิล์ด 4.โรงแรมเซ็นทราแกรนด์ 5.ธนาคารกรุงเทพ และ 6.ธนาคารนครหลวงไทยย่านชิดลม เกิดเหตุเพลิงไหม้ 2 จุด ได้แก่ 1.ธนาคารกรุงไทย สาขาชิดลม และ 2.พื้นที่ใต้ทางด่วนบริเวณชิดลม
ย่านคลองเตย มีเหตุเพลิงไหม้ 4 จุด ได้แก่ 1.ที่ทำการไฟฟ้านครหลวง สาขาคลองเตย 2.อาคารล็อกซ์เล่ย์ 3.ตึกมาลีนนท์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3
และ 4.อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย่านดินแดง เกิดเหตุเพลิงไหม้ 3 จุด ได้แก่ 1.อาคารในซอยบุญชูศรี 2.อาคารบนถนนมิตรไมตรี และ 3.แฟลตดินแดง
พ.ต.อ.พิชัย กล่าวว่า จนถึงขณะนี้มีเหตุเพลิงไหม้เท่าที่ได้รับรายงานทั้งสิ้น 15จุด ซึ่งรถดับเพลิงของ สปภ.ยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ เนื่องจากถูกกลุ่มคนเสื้อแดงใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่
จลาจลลามองค์กรสื่อ-ต่างจังหวัดสถานการณ์จลาจลได้ลุกลามไปถึงองค์กรสื่อ โดยมีแก๊งมอเตอร์ไซค์บุกเข้าไปที่สำนักงานของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ ริมถนนพระรามที่ 4 มีการจุดไฟเผาห้องออกอากาศ ทำให้ช่อง 3 ต้องยุติการออกอากาศไปโดยปริยายสำหรับองค์กรสื่อแห่งอื่นๆ ที่ถูกคุกคาม อาทิ อาคารโพสต์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และโพสต์ทูเดย์ ทำให้ต้องอพยพพนักงานออกจากพื้นที่ทันที นอกจากนั้นยังมีอาคารเนชั่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก และเนชั่นสุดสัปดาห์ มีการอพยพพนักงานเช่นกัน รวมถึงสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 ด้วยขณะเดียวกัน ในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้เกิดสถานการณ์ในลักษณะจลาจลขึ้นในหลายจังหวัดทางภาคเหนือและอีสาน อาทิ เผาศาลากลางที่ จ.อุดรธานี ล้อมศากลางจังหวัดขอนแก่น เผายางรถยนต์ที่ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น
"ทักษิณ"แถลงการณ์ไม่ค้านเจรจา
วันเดียวกัน นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แจกจ่ายแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงวันที่ 19 พ.ค.โดยมีเนื้อหาดังนี้“ตามที่ในวันนี้ รัฐบาลได้สั่งเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ พร้อมอาวุธสงครามร้ายแรง เข้าทำการสลายการชุมนุมของประชาชนบริเวณพื้นที่ราชประสงค์ อีกทั้งฝ่ายรัฐบาลได้กล่าวว่า พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร ไม่เห็นด้วยกับการเจรจา และระบุว่าให้แกนนำ นปช ไปขอความเห็นชอบจาก ตัว พ.ต.ท ทักษิณ ก่อนการเจรจานั้น ผมขอแถลงข้อเท็จจริงต่างๆ ดังนี้
1.ผมไม่เคยคัดค้านการเจรจา ในทางตรงกันข้าม ผมสนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายคือ นปช. และรัฐบาล ทำการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองโดยสันติ วิธี และเพื่อให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงในชาติ
2.ผู้ชุมนุม และนปช. เรียกร้องประชาธิปไตย และความยุติธรรม ไม่ได้มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ตัวผม ผมไม่ใช่แกนนำ นปช.ถ้าจะมีการเจรจาใดๆ รัฐบาลต้องไปเจรจากับ แกนนำนปช. ไม่ใช่เจรจากับตัวผม
3.รัฐบาลกล่าวหาว่ามีการก่อการร้าย และบิดเบือนใส่ร้ายว่าผมเป็นผู้สั่งการในต่างประเทศ ผมขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ผมไม่เคยสั่งการให้ใครกระทำการใด โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรง เพราะผมรักประเทศไทยไม่น้อยไปกว่าคนในรัฐบาล ผมเชื่อและยึดมั่นในแนวทางสันติ อหิงสา และปฏิเสธความรุนแรง ถ้ามีการก่อการร้ายจริงตามที่รัฐบาลกล่าวหา รัฐบาลต้องนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใส่ร้ายผมด้วยความเท็จ เช่นที่ผมถูกกระทำตลอดเวลาร่วมสี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลควรมองผู้ชุมนุมว่าเป็นคนไทยด้วยกัน โปรดอย่าทำร้ายพวกเขาเหล่านั้นเลย ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ พร้อมอาวุธสงครามร้ายแรง ทำการสลายการชุมนุมของประชาชน และเปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยทันที ทั้งนี้ เพื่อมิให้มีการสูญเสียเลือดเนื้อ และสร้างบาดแผลทางสังคมให้บาดลึกลงไปอีก”
กอร์ปศักดิ์ชี้"ทักษิณ"ขวางแนวสันติ
ก่อนหน้านั้น นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ว่า ได้คุยโทรศัพท์กับ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา พบว่านายประสพสุขไม่รู้เรื่องรายละเอียดการเจรจาเท่าที่ควร จึงบอกให้ไปคุยกับ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ที่เป็นตัวแทนไปเจรจากับแกนนำ นปช. แต่คิดว่า พล.อ.เลิศรัตน์ คงทราบแล้วว่าข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างที่คิด
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำเป็นเรื่องของความมั่นคงไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจา อีกทั้งที่ผ่านมาการเจรจากับกลุ่ม นปช.มีมาเกือบ 2 สัปดาห์ และได้ข้อยุติกันหมดแล้ว แต่ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอม ดังนั้นการที่ ส.ว.จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา เหมือนเป็นการเริ่มใหม่ทั้งหมดและไม่เป็นประโยชน์ จึงขอให้ แกนนำ นปช.ควรเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดีกว่า เพราะการเจรจากับรัฐบาลเรียบร้อยหมดแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อาศีส พิทักษ์คุมพล” จุฬาราชมนตรีคนที่ 18

อาศีส พิทักษ์คุมพล” จุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ของเมืองไทย กับความคาดหวังของคนชายแดนใต้
วันจันทร์ 17 พ.ค. 2010 01:45
ปรัชญา โต๊ะอิแต
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

แม้วิกฤตการณ์ "สงครามกลางเมือง" ในกรุงเทพฯจะร้อนแรงเพียงใด แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าประเด็นที่พูดถึงกันมากไม่แพ้กันในสังคมมุสลิมขณะนี้ก็คือ
การสรรหาจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 แทน นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ อดีตจุฬาราชมนตรีที่ถึงแก่อนิจกรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ค.2553 ที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ คลอง 9 จ.ปทุมธานี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 39 จังหวัดทั่วประเทศ
จำนวน 716 คน จากทั้งหมด 751 คน ทะยอยไปลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมครั้งประวัติศาสตร์เพื่อเลือกจุฬาราชมนตรีคนใหม่ โดยมี นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรี
ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาจุฬา
ราชมนตรี นายมงคล สุระสัจจะ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการปกครอง และผู้แทนเอกอัครราชทูตประเทศมุสลิมเข้าร่วมสังเกตการณ์
ทั้งนี้ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดได้เสนอชื่อผู้เข้ารับการสรรหาเป็นจุฬาราชมนตรีอย่างกว้างขวางถึง 9คน ประกอบด้วย นายสมาน มาลีพันธ์ นายอาศีส พิทักษ์คุมพล
นายวินัย สะมะอูน นายอรุณ อีซอ นายอรุณ บุญชม นายอิมรอน มะลูลีม นายทวี นภากร นายทองคำ มะหะหมัด และนายอรุณ วันแอเลาะห์
อย่างไรก็ดี ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540และกฎกระทรวง ระบุว่า หากมีผู้ได้รับการเสนอชื่อเกิน 3คน จะต้องใช้วิธีสรรหา
โดยการจับสลากเลือกตัวแทนจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จังหวัดละ 1 คนเป็นกรรมการสรรหา เพื่อสรรหาผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เหลือเพียง 3 คน
โดยวิธีลงคะแนนลับ เมื่อได้ 3 ชื่อแล้ว ก็เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดลงคะแนนต่อไป
ปรากฏว่า 3 ชื่อสุดท้าย ได้แก่ นายอาศีส นายทวี และนายสมาน
ผลการลงคะแนนปรากฏว่า นายอาศีส พิทักษ์คุมพล ได้รับเลือกเป็นจุฬาราชมนตรีคนใหม่ โดยได้คะแนนสนับสนุนถึง 423 คะแนน
หลังจากนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีต่อไป
เปิดปูมจุฬาราชมนตรีคนใหม่
อนึ่ง นายอาศีส เป็นตัวแทนจากภาคใต้คนแรกที่ได้รับเลือกเป็นจุฬาราชมนตรี โดยเขาเป็นชาว จ.สงขลา อายุ 63ปี ปัจจุบันเป็นรองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่ง
ประเทศไทย เป็นประธานชมรมคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ เป็นยังเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วย
นายอาศีส เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากทั้งแวดวงราชการและภาคประชาชน ทั้งยังดำรงตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย
อาทิ ที่ปรึกษาสภาเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)เคยร่วมเป็นคณะกรรมการอิสระไต่สวนข้อเท็จ
จริงกรณีเหตุการณ์วันที่ 28 เม.ย.2547 (เหตุการณ์กรือเซะ) และเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่หน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส
เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2547 หรือเหตุการณ์ตากใบ
ผลงานล่าสุดที่โดดเด่นอย่างยิ่งก็คือ โครงการก่อสร้างมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา งบประมาณกว่า 143 ล้านบาท ซึ่ง นายอาศีส เป็นแกนกลางคนสำคัญที่ทำให้เกิด
การร่วมแรงร่วมใจกันทั้งภาครัฐ ฝ่ายการเมือง ภาคเอกชน และประชาชน กระทั่งโครงการประสบความสำเร็จ
วอนจุฬาราชมนตรีให้ความสำคัญ“ไฟใต้”
สำหรับความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ที่มีต่อจุฬาราชมนตรีคนใหม่นั้น เท่าที่ “ทีมข่าวอิศรา” สำรวจความคิดเห็นก็พบว่าส่วนใหญ่คาดหวังในตัวผู้นำสูงสุด
ในกิจการศาสนาอิสลามของประเทศไทยกันไม่น้อยทีเดียว
นายอับดุลเลาะ ตาเยะ ชาว อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี กล่าวว่า จุฬาราชมนตรีนั้นถือเป็นอามีรฺ หรือผู้นำสูงสุดของพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย ฉะนั้นจุฬาราชมนตรี
จะต้องเป็นผู้ที่ยึดถือหลักการอย่างชัดเจน และสนองตอบการแก้ไขปัญหาของพี่น้องมุสลิม
“ผมอยากให้ท่านจุฬาราชมนตรีคนใหม่เพิ่มบทบาทการทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
โดยสร้างการมีส่วนร่วมและลงพื้นที่บ่อยๆ เพื่อจะได้ทราบสถานการณ์และรับรู้ถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน เพราะที่ผ่านมาประชาชนสามจังหวัดมองว่าจุฬาราชมนตรี
ยังไม่มีบทบาทตรงนี้เท่าที่ควร จากที่ได้พูดคุยกันในวงน้ำชา ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้จักบทบาทของจุฬาราชมนตรีเพียงแค่การประกาศวันถือศีลอดและวันรายอเท่านั้น
ส่วนบทบาทอื่นที่สมควรจะมีมักไม่ค่อยมี”
“นอกจากนั้นยังอยากให้จุฬาราชมนตรีมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ต้องไม่ผูกติดกับนักการเมือง มีความอิสระจากกลุ่มการเมืองต่างๆ และเดินหน้าเรื่องสินค้าฮาลาลให้ได้
มาตรฐานสากล”
นางเจ๊ะรูฮาณี ลอแบลูวง แม่บ้านจาก ต.สะบารัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ให้ความเห็นคล้ายๆ กันว่า อยากให้จุฬาราชมนตรีคนใหม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาสามจังหวัด
มากกว่าที่ผ่านมา อย่าหลงในตำแหน่งจนไม่กล้าลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ปัญหาและรับทราบข้อเท็จจริง
นายอาดือนัน ซาการียา เด็กหนุ่มจาก อ.รามัน จ.ยะลา กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นคนสามจังหวัด ก็อยากให้จุฬาราชมนตรีสนใจปัญหาภาคใต้มากๆ และมีใจเป็นกลาง
ร่วมแก้ไขปัญหาด้วยความเป็นธรรม
ภารกิจลดขัดแย้งทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่
ขณะที่ อัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการด้านสันติวิธี และอดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) กล่าวว่า จุฬาราชมนตรีจะต้องเป็นแบบอย่าง
ในหลักการของอิสลาม เป็นแบบอย่างในการบริหารกิจการอิสลามของประเทศและอุมมะฮฺ (ประชาชาติ) ด้วยความชาญฉลาด เสียสละ เข้มแข็ง ไม่โอนอ่อนตามกระแส
การเมืองทั้งในและนอกประเทศ ไม่ยึดติดกับอำนาจ และไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องจากอำนาจหน้าที่ที่สูงส่งนี้ ที่สำคัญคือต้องมีภาวะผู้นำเพียงพอ
ที่จะสามารถชี้นำหลักชัยแห่งอิสลามทั้งในสังคมมุสลิมและสังคมทั่วไปได้อย่างไม่มีข้อสงสัย
“อย่าได้มองและเข้าใจเอาเองว่าผู้ที่เป็นจุฬาราชมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมาย (พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540)เท่านั้น
เพราะหน้าที่หลักที่แท้จริงคือการรักษา ปกป้อง เสริมสร้างศักดิ์ศรี และยกระดับดัรญัด (สถานภาพ) ความเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์แบบบนหน้าแผ่นดินของพระองค์ต่างหาก”
“ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ จุฬาราชมนตรีจะต้องกล้าหาญในการชูธงความเป็นมุสลิมในประเทศนี้อย่างสมศักดิ์ศรีและเต็มเปี่ยมด้วยเกียรติภูมิอันสูงสุด ด้วยวุฒิพิสัยที่ทรงคุณค่า
ทัศนวิสัยที่กว้างไกลบนพื้นฐานความรู้ทางศาสนาอย่างแตกฉาน มือและความคิดจะต้องประสานสิบทิศ ลดสารพันความขัดแย้งของสังคมประเทศให้น้อยลงและหมดสิ้น
อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนในประเทศและโลกมุสลิมอย่างแท้จริง”

นับเป็นความท้าทายของจุฬาราชมนตรีคนใหม่ในบริบทความขัดแย้ง...ทั้งในระดับชาติและจังหวัดชายแดนภาคใต้!
ที่มาศูนย์ข่าวอิศรา
www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=339:-18-&catid=10:2009-11-15

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดักบึ้มชุด รปภ.เส้นทางแม่ทัพ ยิงรายวันดับ 2 ผู้นำท้องถิ่น

ดักบึ้มชุด รปภ.เส้นทางแม่ทัพ ยิงรายวันดับ 2 ผู้นำท้องถิ่น
วันจันทร์, 03 พ.ค. 2010 22:31
อะหมัด รามันห์สิริวงศ์
แวดาโอ๊ะ หะไร และทีมข่าวอิศรา

กลุ่มก่อความไม่สงบเปิดปฏิบัติการระทึก ลอบวางระเบิดดักสังหารทหารชุด รปภ.แม่ทัพภาคที่ 4 ในพื้นที่ อ.ยี่งอ ขณะแม่ทัพเข้าปฏิบัติภารกิจ โชคดีรัศมีการทำลายล้างเปลี่ยนทิศทาง รอดตายหวุดหวิด โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าออกโรงโต้ทันควัน แค่ป่วนรายวัน ไม่ใช่แผนเล่นงานเจ้าหน้าที่ระดับสูง ด้านผู้นำท้องถิ่นตกเป็นเป้าความรุนแรง ผู้ใหญ่บ้าน-ผู้ช่วยฯในยะลา-ปัตตานี ถูกยิงเสียชีวิต 2 ศพ

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงตึงเครียดและเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 11.05 น. วันจันทร์ที่ 3 พ.ค.2553 พ.ต.ท.ศักดิ์ สีหมัด สารวัตรเวร สภ.ยี่งอ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองร้อยปืนเล็กที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 บนถนนในหมู่บ้านกูเล็ง หมู่ 2 ต.ยี่งอ จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยชุดเก็บกู้ทำลายล้างวัตถุระเบิด (อีโอดี) หน่วยปฏิบัติการพิเศษ จ.นราธิวาส

ที่เกิดเหตุเป็นกอหญ้ารกทึบริมถนน พบหลุมลึก 2 ฟุต กว้าง 4 ฟุต มีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดชนิดแสวงเครื่องแบบเครโม น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือกระจายเกลื่อน เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวน พ.จ.อ.บุรินทร์ จาดป้อม หัวหน้าชุดกองร้อยปืนเล็กที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้นำกำลังรวม 8 นายขี่รถจักรยานยนต์จำนวน 4 คันออกจากฐานปฏิบัติการ เพื่อวางกำลังรักษาความปลอดภัยให้กับ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ที่เดินทางไปเปิดงานมอบโรงสีข้าวให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านกูแว หมู่ 5 ต.ลูโบ๊ะบายะ อ.ยี่งอ โดยคาดว่าแม่ทัพอาจจะใช้เส้นทางสายนี้เดินทางกลับ

อย่างไรก็ดี เมื่อขี่รถจักรยานยนต์ถึงจุดเกิดเหตุ ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ และใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดที่ลอบนำไปวางซุกซ่อนไว้ในกอหญ้าริมถนนจนเกิดระเบิดขึ้น 1 ครั้ง แต่รัศมีการทำลายล้างของระเบิดได้พุ่งทิศทางเข้าไปในป่า จึงทำให้กำลังพลรอดตายอย่างหวุดหวิด เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ


โฆษกฯรีบสยบข่าวดักสังหาร "จนท.ระดับสูง"

พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า (โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารชุด รปภ.แม่ทัพภาคที่ 4 ในพื้นที่ อ.ยี่งอ เชื่อว่าเป็นการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ตามปกติ ไม่ใช่การพุ่งเป้าลอบสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูง เพราะร่องรอยของระเบิดเป็นลักษณะของการวางแบบเร่งด่วน ไม่ได้มีการขุดหลุมฝังแบบเตรียมการมาอย่างดี

อีกทั้งเส้นทางที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่เส้นทางหลักที่คณะของแม่ทัพภาคที่ 4 ใช้เดินทางไปและกลับ แต่สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ชุด รปภ.เข้าไปตรวจสอบบริเวณดังกล่าว ถือเป็นภารกิจตามปกติที่ชุดลาดตระเวนจะต้องเข้าตรวจสอบความเรียบร้อยในพื้นที่ใกล้เคียงที่มีบุคคลสำคัญเข้าไปปฏิบัติภารกิจอยู่แล้ว

"ผมไม่อยากให้มองว่าเป็นการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพื้นที่ เพราะมีสิ่งบ่งชี้หลายประเด็นว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงรายวันมากกว่า แต่บังเอิญเป็นชุด รปภ.เส้นทางที่ดูแลพื้นที่ในช่วงที่แม่ทัพภาคที่ 4 เข้าปฏิบัติภารกิจใน อ.ยี่งอ พอดี หลังจากนี้จะเพิ่มความระมัดระวังเส้นทางต่างๆ ให้รัดกุมยิ่งขึ้น" พ.อ.บรรพต กล่าว


ประกบยิง ผญบ.ดับคาสี่แยกกลางยะลา

ช่วงเช้าวันเดียวกัน ศูนย์รวมข่าว สภ.เมืองยะลา รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บ บริเวณสี่แยกเนินหูกวาง ถนนธนวิถี ตัดถนนผังเมือง 4 ในเขตเทศบาลนครยะลา จึงประสานแจ้ง พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้กำกับการ สภ.เมืองยะลา นำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าร้านศรีธรรมราช เลขที่ 48 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า 4 ประตู สีบรอนซ์-แดง หมายเลขทะเบียน กข 7337 ยะลา สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นไม่ทราบชนิดและขนาด ทำให้กระจกด้านข้างคนขับเป็นรูพรุน ส่วนผู้บาดเจ็บนั้น ชุดกู้ภัยแม่กอเหนี่ยวยะลานำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลาแล้ว และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อคือ นายรอซาลี ฮามะ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/40 หมู่ 4 ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.สะเตง และ เป็นพนักงานขายของบริษัทเอเอเอสมอเตอร์ (มิตซูบิชิสาขายะลา) สภาพศพถูกยิงเข้าที่บริเวณท้ายทอย 2 นัด และ ลำตัว 1 นัด

สอบสวนทราบว่า ขณะที่นายรอซาลีกำลังขับรถกระบะคันดังกล่าวมุ่งหน้าไปทำธุระส่วนตัวในเมืองยะลา ช่วงรถติดไฟแดงมีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 สีดำไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้าประกบ โดยคนร้ายสวมหมวกกันน็อก จากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิงใส่นายรอซาลี 6 นัดซ้อน ทำให้นายรอซาลีเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปว่าสาเหตุของการสังหารโหดเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือเป็นเรื่องส่วนตัว หรือความขัดแย้งเรื่องการเมืองท้องถิ่น


ยิงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านปัตตานีดับอีกราย

เวลา 15.00 น. พ.ต.อ.นฤชา สุวรรณลาภา ผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี รับแจ้งเหตุยิงกันตายบนถนนในหมู่บ้าน หน้าบ้านเลขที่ 49 หมู่ 4 บ้านบาราเฮาะ ต.ปูยุด อ.เมืองปัตตานี จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ในที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นคริสตรัล สีดำ หมายเลขทะเบียน ช 9889 ปัตตานี ล้มทับตัวผู้ตายอยู่ ทราบชื่อคือ นายอับดุลรอแม วานิ อายุ 49 ปี เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 6 บ้านสูงาฆาลี ต.ปูยุด ถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 และ 9 ม.ม. นับสิบนัด เสียชีวิตคาที่

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายอับดุลรอแม กำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับจากประชุมประจำเดือน ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองปัตตานี และมุ่งหน้าไปรับเงินเดือนกับผู้ใหญ่บ้าน แต่ระหว่างทางถูกคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามไล่ล่า และใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ตายจากด้านหลัง จนรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ จากนั้นคนร้ายที่ซ้อนท้ายยังตามลงไปยิงซ้ำที่ศีรษะจนแน่ใจว่าเสียชีวิต ก่อนจะหลบหนีไป เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบหรือเป็นเหตุขัดแย้งส่วนตัว


เอ็ม 79 ถล่มฐานทหารนราธิวาส

ที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ร.ต.ท.นรเศรษฐ์ สุขศรี ร้อยเวร สภ.ระแงะ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หน่วยปฏิบัติการพิเศษ จ.นราธิวาส ได้เดินทางไปตรวจสอบเหตุคนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ยิงระเบิด 2 ลูกซ้อนถล่มฐานปฏิบัติการชุดพัฒนาสันติที่ 38-12 ตั้งอยู่ภายในโรงเรียนบ้านไอร์ปาเซ หมู่ 8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 00.45 น. เช้ามืดวันที่ 3 พ.ค. แต่เจ้าหน้าที่ไม่กล้าเดินทางเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุทันที เนื่องจากเกรงกลุ่มคนร้ายจะวางแผนซุ่มโจมตี

ทั้งนี้ ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบหลุมระเบิด 2 จุด โดยจุดแรกอยู่ที่ถนนหน้าอาคารเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบเศษชิ้นส่วนของปลอกกระสุน เอ็ม 79 ตกอยู่จำนวนหนึ่ง บริเวณผนังอาคารเรียนชั้น 2 ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหาย

จุดที่ 2 บริเวณบ่อเลี้ยงปลาหลังกำแพงรั้วของโรงเรียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานปฏิบัติการ แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ และไม่มีส่วนใดของฐานได้รับความเสียหาย

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดยังพบว่า จุดที่คนร้ายซุ่มยิง เอ็ม 79 ใส่ฐานปฏิบัติการ อยู่บริเวณสวนยางพาราห่างจากฐานประมาณ 200 เมตร เนื่องจากมีรอยต้นหญ้าถูกเหยียบย่ำเป็นวงกว้าง และมีก้นบุหรี่ก้นกรองตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ


คดียิงนักข่าวยังไม่คืบ-แม่ทัพภาค 4 โทร.ถามเหตุการณ์

ด้านความคืบหน้าคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนประกบยิง นายอารูมิง ยามา ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หาดใหญ่ เจอร์นัล และสมาชิกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย เสียชีวิตคาถนนในเขต อ.เมืองยะลา เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พ.ค. สมาชิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันยืนไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของนายอารูมิงเป็นเวลา 1 นาที ก่อนเปิดการเสวนาเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน กรุงเทพฯ

ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้โทรศัพท์แสดงความเสียใจและโทรศัพท์สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้

นายวสันต์ อัครเดช บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์หาดใหญ่เจอร์นัล ได้เดินทางไปมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 5,000 บาทให้กับ นางยาหารอ หมานเต๊ะ มารดาของนายอารูมิง ที่บ้านของนายอารูมิงในเขตเทศบาลนครยะลา

นายวสันต์ กล่าวว่า การสูญเสียผู้สื่อข่าวในครั้งนี้ เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของสื่อท้องถิ่น เพราะผู้ตายทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด เชื่อว่าไม่มีใครไม่เสียใจกับการจากไปของผู้สื่อข่าวรายนี้

นางยาหารอ มารดาของนายอารูมิง กล่าวว่า อารูมิงเป็นลูกชายคนเดียว ดูแลและเลี้ยงแม่มาโดยตลอด ทุกวันจะกลับมาช่วยแม่ขนของไปขายตามตลาดนัด หลังจากที่ลูกเสียชีวิต ไม่ทราบว่าชีวิตจะอยู่อย่างไร จึงขอวิงวอนให้ทางราชการมาช่วยเหลือครอบครัวด้วย

เหตุการณ์รับเปิดเทอม53

ประกบยิงครูดับรับเปิดเทอม คนร้ายเจอรถเบียด จยย.พุ่งชนเสาคาที่ บึ้มบันนังสตาตำรวจสาหัส 3
Written by Administrator
SATURDAY, 08 MAY 2010 14:05
อับดุลเลาะ หวังนิ / แวดาโอ๊ะ หะไร
อะหมัด รามันห์สิริวงศ์
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา

ใต้ยังป่วนต่อเนื่อง คนร้ายควบมอเตอร์ไซค์ประกบยิงครูเสียชีวิตรับเปิดภาคการศึกษาใหม่ แต่หนึ่งใน 3 คนร้ายหนีไม่รอด เจอรถผู้ตายเบียดจนเสียหลักพุ่งชนเสาเสียชีวิตคาที่ ค้นตัวเจอปืนและเครื่องกระสุนเพียบ ธารโตป่วนหนักวางกับระเบิดในสวนยางพารา ชาวบ้านเหยียบตูมสนั่นขาขาด บันนังสตาก็วุ่น วางบึ้มเสาไฟฟ้า 3 จุดหวังดับเมือง ตำรวจเจอ “สไปเดอร์บอมบ์” กู้ไม่ทันสาหัสอีก 3

สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผานมา ยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการประทุษร้ายกับ “ครู” ในช่วงใกล้เปิดภาคการศึกษาใหม่ ซึ่งหน่วยข่าวด้านความมั่นคงออกมาแจ้งเตือนก่อนหน้านี้

โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 7 พ.ค.2553 เวลาประมาณ 16.20 น. เกิดคนร้ายจำนวน 3 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คันเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 11 ม.ม. ประกบยิง นายภาพ ลาภเจือจันทร์ อายุ 45 ปี ครูโรงเรียนบ้านกรือเซะ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะขับรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ สีเลือดหมู หมายเลขทะเบียน บกค 491 ยะลา มุ่งหน้ากลับบ้าน ที่บ้านเลขที่ 122/56 บ้านตือเบาะ หมู่ 10 ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา เหตุเกิดบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 ท้องที่ ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยะรัง และเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 21 นำกำลังรุดไปตรวจสอบ และสอบสวนจนทราบว่า ขณะเกิดเหตุ นายภาพ กำลังขับรถอยู่ในท้องที่บ้านเกาะบาตอ หมู่ 5 ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง มีคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน ใช้อาวุธปืนพกประกบยิงนายภาพ แต่นายภาพยังแข็งใจขับรถเบียดรถของคนร้าย ทำให้รถจักรยานยนต์ของมือปืนเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า เป็นเหตุให้คนร้ายซึ่งเป็นผู้ขับขี่เสียชีวิต ส่วนผู้ก่อเหตุอีก 1 คนได้รับบาดเจ็บ จึงวิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของคนร้ายอีก 1 คันที่ขับตามมา หลบหนีไป

ส่วนรถกระบะของนายภาพ ยังเสียหลักเฉี่ยวชนราษฎรซึ่งเดินอยู่ข้างถนนได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ขณะที่นายภาพเสียชีวิต

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบอาวุธปืนพกขนาด 9 ม.ม.จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุน และกระสุนบรรจุอยู่จำนวน 14 นัด ซึ่งเป็นของคนร้ายที่เสียชีวิต ตกอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย นอกจากนั้นยังมีปลอกกระสุนปืน 11 มม.จำนวน 2 ปลอก กระสุนปืน 11 มม. จำนวน 1 นัด รองเท้าแตะหูคีบสีดำ จำนวน 1 คู่ และรองเท้าแตะลายทหาร 1 ข้าง รวมทั้งรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ แผ่นป้ายทะเบียน กยว 702 ปัตตานี ซึ่งเป็นทะเบียนปลอม และเป็นรถของคนร้ายที่ใช้ก่อเหตุด้วย จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยคนร้ายที่เสียชีวิตจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบชื่อ อย่างไรก็ดี มีข่าวบางกระแสระบุว่า ผู้ตายอาจจะเป็น นายอิมรอน (สงวนนามสกุล)

ค่ำวันเดียวกัน เกิดเหตุคนร้าย 1 คน ขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กพอ 564 ปัตตานี ตามประกบยิง ส.ต.ท.เสน่ห์ ปานโรจน์ ผู้บังคับหมู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (ผบ.หมู่ นปพ.) สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับจากออกกำลังกาย กระสุนถูกบริเวณหัวไหล่ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบนถนนในหมู่บ้านกาแต หมู่ 1 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือเป็นการล้างแค้นส่วนตัว


บึ้มกลางสวนยาง-ชาวบ้านขาขาด

วันเสาร์ที่ 8 พ.ย.2553 เวลา 07.00 น. พ.ต.อ.เฉลิมเกียรติ อัมรากระสินธุ์ ผู้กำกับการ สภ.ธารโต จ.ยะลา รับแจ้งเหตุมีชาวบ้านเหยียบกับระเบิดของกลุ่มคนร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในท้องที่บ้านปาลัส หมู่ 2 ต.ธารโต อ.ธารโต จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ทั้งนี้ ที่เกิดเหตุอยู่ในสวนยางพาราบนภูเขาหลังหมู่บ้าน ทราบชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บคือ นายวิชิต ดวงเต็ม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 หมู่ 2 ต.ธารโต เป็นเจ้าของสวนยาง แรงระเบิดทำให้นายวิชิตอาการสาหัส ขาซ้ายขาดเกือบถึงเข่า

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายวิชิตได้ออกจากบ้านเพื่อไปกรีดยางพาราในสวนยางตามปกติ ระหว่างกำลังเดินอยู่ตามร่องสวน ได้ไปเหยียบกับระเบิดที่กลุ่มคนร้ายแอบฝังไว้ เป็นเหตุให้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น และนายวิชิตได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการกดดันให้ชาวไทยพุทธย้ายออกจากพื้นที่


บันนังสตาร้อน-ระเบิดเสาไฟฟ้า3จุดหวังดับเมือง

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ค. พ.ต.ท.เจตน์ เจริญยืน รักษาการผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ได้นำกำลังพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดและกองพิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุระเบิดบริเวณเสาไฟฟ้าริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 (ช่วงกรงปินัง-บันนังสตา) ท้องที่บ้านป่าหวังนอก หมู่ 11 ต.บันนังสตา หลังคนร้ายลอบก่อเหตุเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เสาไฟฟ้าที่ถูกระเบิดอยู่ห่างจากบ้านของ นายมะอุเซ็ง สะตายา เลขที่ 63/1 หมู่ 11 ต.บันนังสตา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.บันนังสตา เพียง 20 เมตร บริเวณโคนเสาได้รับความเสียหาย ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ยับพบเศษกล่องเหล็กและเศษสายไฟกระจายเกลื่อน จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบเสาไฟฟ้าริมถนนใกล้กับสำนักงานที่ดินอำเภอบันนังสตา ท้องที่หมู่ 3 บ้านเงาะกาโป ต.บันนังสตา และเสาไฟฟ้าริมถนนสายบันนังสตา-ปะแต ท้องที่หมู่ 7 บ้านกูวอบาเดาะ ต.บันนังสตา ซึ่งถูกคนร้ายลอบวางระเบิดเช่นกัน โดยเสาไฟฟ้าได้รับความเสียหายเล็กน้อย ทุกจุดคนร้ายบรรจุระเบิดแสวงเครื่องไว้ในกล่องเหล็ก

สอบสวนทราบว่าเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.คืนวันที่ 5 พ.ค. เกิดระเบิดดังขึ้น 3 ครั้งในพื้นที่ อ.บันนังสตา แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ออกไปตรวจสอบ เนื่องจากเกรงคนร้ายจะก่อเหตุซ้ำซ้อน กระทั่งเช้าจึงออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ และพบคนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า 3 จุด เชื่อว่าต้องการให้กระแสไฟฟ้าในเขตเทศบาลตำบลบันนังสตาดับ แต่โชคดีที่ระเบิดทำให้เสาไฟฟ้าเสียหายเพียงเล็กน้อย


ตำรวจเจอ "สไปเดอร์บอมบ์" กู้ไม่ทันตูมสนั่นเจ็บอีก 3

วันพุธที่ 5 พ.ค.2553 เวลา 09.30 น.ที่ อ.บันนังสตา เช่นกัน พ.ต.ท.วิชัย แจ้งสกุล รองผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ.บันนังสตา ว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณด้านหลังธนาคารออมสิน สาขาบันนังสตา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 ราย จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 103 ถนนบันนังสตาวิถี ด้านหลังธนาคารออมสิน ในเขตเทศบาลตำบลบันนังสตา เจ้าหน้าที่พบเศษเหล็ก เศษชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ เศษวิทยุสื่อสารกระจายเกลื่อนเต็มพื้น ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลบันนังสตาแล้ว ทราบชื่อคือ ร.ต.อ.มานพ บริพันธ์ อายุ 37 ปี รองสารวัตรปราบปราม (รอง สวป.) สภ.บันนังสตา ถูกระเบิดบริเวณศีรษะ และใบหูขวาฉีกขาด ส.ต.ท.ปฐมพงษ์ ศีรษะพล อายุ 31 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า และลำคอ และ ส.ต.ท.เอกพล แก้วทอน อายุ 26 ปี ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม (ผบ.หมู่ ป.) ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณขอบตา

สอบสวนทราบว่า คนร้ายได้นำระเบิดชนิดแสวงเครื่อง น้ำหนัก 3 กิโลกรัม บรรจุในกล่องเหล็ก จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร (สไปเดอร์บอมบ์) ไปวางไว้ใต้เหล็กริมฟุตบาท หน้าบ้านเลขที่ 103 ถนนบันนังสตาวิถี และได้นำเศษใบไม้มาปูอำพรางไว้ แต่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นวัตถุต้องสงสัย จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บันนังสตา เข้าตรวจสอบ เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง ได้กันประชาชนออกห่าง แต่จังหวะนั้นเอง คนร้ายซึ่งคาดว่าจะแฝงตัวอยู่ใกล้กับจุดที่เกิดเหตุ ได้กดขนวนระเบิดขึ้น จนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจที่เกิดเหตุได้รับบาดเจ็บ 3 นาย นอกจากนั้น กลุ่มคนร้ายยังได้วางกล่องต้องสงสัยไว้ข้างสะพานบ้านบาลอบาตะ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 (ยะลา-เบตง) หมู่ 13 ต.ตลิ่งชัน อ.บันนังสตา เพื่อสกัดการติดตามของเจ้าหน้าที่ด้วย เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ


ผู้ใหญ่บ้านดับอีก 1-ปธ.ชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่ฯโวยรัฐ

เวลา 13.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ค. ศูนย์วิทยุ สภ.ยะหา จ.ยะลา รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต ที่บ้านมาแน หมู่ 6 ต.ยะหา จึงประสาน สภ.ยะหา ส่งกำลังรุดไปตรวจสอบ พบผู้เสียชีวิตถูกนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหาแล้ว คือ นายมูซอ แดวอสะนุง อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 145 หมู่ 6 ต.ยะหา มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายมูซอ กำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับจากไปประชุมประจำเดือน ณ ที่ว่าการอำเภอยะหา มุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ระหว่างทางมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้รถกระบะเป็นพาหนะ ขับตามประกบ จากนั้นคนในรถได้ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มจนเสียชีวิต เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ

ด้าน นายนาแว กะริยอ ประธานชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จ.ยะลา กล่าวว่า ในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมาในพื้นที่ต้องสูญเสียผู้ใหญ่บ้านไปแล้ว 2 รายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ สถานการณ์เริ่มบ่งชี้ว่าคนร้ายพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้นำชุมชนอีกครั้ง จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปกป้องชีวิตของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกลไกของรัฐในระบบหมู่บ้านให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ด้วย


บึ้มทหารพราน-จ่อยิงพ่อค้าเนื้อ

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันอังคารที่ 4 พ.ค. เวลา 07.15 น. ร.ต.อ.หมัดอุเส็ง เมาะสะนิ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพราน สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4506 กรมทหารพรานที่ 45 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย เหตุเกิดในโรงเรียนบ้านลูโบ๊ะเยาะ หมู่ 7 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ในที่เกิดเหตุพบหลุมระเบิดบริเวณกอไผ่ข้างศาลาเอนกประสงค์ ขนาดลึก 2 ฟุต กว้าง 4 ฟุต มีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่อง ที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในกล่องเหล็ก น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ กระจายเกลื่อนพื้น จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ส่วนหลังคาศาลาเอนกประสงค์ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายเป็นรูพรุน

สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บ พลเมืองดีช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาลเจาะไอร้องแล้ว ประกอบด้วย ส.ท.สุทิน กิจประสงค์ หัวหน้าชุด อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) ยศศิริ อินทรสุข และ อส.ทพ.ศิริรัฐ ขาวมรกต

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ส.ท.สุทิน หัวหน้าชุด ได้นำกำลังทหารพรานรวม 11 นาย เดินเท้าออกจากฐานซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดเจาะไอร้อง มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนบ้านลูโบ๊ะเยาะ เพื่อทำโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียนช่วงเปิดเทอม เมื่อไปถึง เจ้าหน้าที่ได้พากันวางสัมภาระต่างๆ ภายในศาลาเอนกประสงค์ ปรากฏว่ามีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในละแวกนั้น ใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดที่ซุกไว้บริเวณกอไผ่ข้างศาลาเอนกประสงค์ จนเกิดระเบิดขึ้น 1 ครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้รับบาดเจ็บดังกล่าว เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ

ก่อนหน้านั้น เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 3 พ.ค. เวลาประมาณ 22.30 น. มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ฐานปฏิบัติการทหารพรานกองร้อยที่ 4602 กรมทหารพรานที่ 46 ตั้งอยู่ที่บ้านโคกสุมุ หมู่ 3 ต.บางปอ อ.เมือง จ.นราธิวาสด้วย แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดีเช่นกัน

ที่ จ.ปัตตานี เวลา 07.50 น.วันอังคารที่ 4 พ.ค. พ.ต.อ.นฤชา สุวรรณลาภา รักษาราชการแทนผู้กำกับการ สภ.เมืองปัตตานี รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต บริเวณริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 สายปัตตานี-นราธิวาส เยื้องๆ กับมัสยิดกรือเซะ ท้องที่หมู่ 3 บ้านกรือเซะ ต.ตันหยงลุโล๊ะ อ.เมือง จ.ปัตตานี จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ

ทั้งนี้ จุดเกิดเหตุอยู่ใกล้เขียงขายเนื้อริมถนน พบศพ นายบือราเฮง แวสะนิ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108 หมู่ 3 ต.คลองมานิง อ.เมืองปัตตานี สภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนอาก้า ขณะที่มือซ้ายของผู้ตายยังกำมีดอยู่ นอกจากนั้นในที่เกิดเหตุยังพบปลอกกระสุนปืนอาก้า จำนวน 4 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายเป็นพ่อค้าขายเนื้ออยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมานานหลายปี โดยเฉพาะวันที่มีตลาดนัดจะออกมาขายเนื้อตรงจุดเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเช้ามืดเพียงลำพังทุกครั้ง ก่อนเกิดเหตุขณะที่ผู้ตายกำลังเฉือนเนื้อให้กับลูกค้า ปรากฏว่ามีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดหน้าร้าน จากนั้นคนที่นั่งซ้อนท้ายใช้อาวุธปืนอาก้าจ่อยิงเผาขนจนนายบือราเฮงล้มฟุบกองกับพื้น เสียชีวิตทันที ก่อนหลบหนีคนร้ายยังได้ใช้อาวุธปืนอาก้ายิงขึ้นฟ้าอีก 3 นัด

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังปิดล้อมในละแวกใกล้เคียง แต่ก็ไม่พบตัวคนร้าย ส่วนสาเหตุการสังหารโหดครั้งนี้ เบื้องต้นมุ่งไป 2 ประเด็น คือความขัดแย้งส่วนตัวเกี่ยวกับธุรกิจขายเนื้อ และการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ด้วยการสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รูปภาพ

น่าเที่ยวจริงๆเมืองไทยเรานี้รูปภาพสวยๆจากเมืองกะบีให้ชม


ภาพกะบีสวยดีจังหวัดเป็นจังหวัดที่มีที่เที่ยวมากมายหากใครมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองไทยดีกว่าเมืองนอกฮะฮะ

เปิดแคนดิเดท "จุฬาราชมนตรี" คนใหม่


เปิดแคนดิเดท "จุฬาราชมนตรี" คนใหม่
Written by Administrator
SUNDAY, 09 MAY 2010 08:02
เอกราช มูเก็ม*
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา


การจากไปของ นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ 24 มี.ค.2553 ทำให้กระแสสังคมเริ่มให้ความสนใจกับการสรรหาจุฬาราชมนตรีคนใหม่ โดย นายสวาสดิ์ ได้รับการเลือกให้เป็นจุฬาราชมนตรี หลังจาก นายประเสริฐ มะหะหมัด ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี 2540 จึงนับเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540

จากยุคกรุงศรีฯถึงรัตนโกสินทร์

จุฬาราชมนตรี เปรียบเสมือนประมุขมุสลิมในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา โดยจุฬาราชมนตรีคนแรกแต่งตั้งในสมัยพระเจ้าทรงธรรม คือ เชค อะหมัด เป็นพ่อค้าวานิชชาวเปอร์เชีย นิกายชีอะห์ และนับเป็นปฐมแห่งจุฬาราชมนตรี และเป็นต้นตระกูล "บุนนาค"

หากย้อนอดีตกลับไปจะพบว่า จุฬาราชมนตรีตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา กระทั่งกรุงรัตนโกสินทร์ ล้วนแต่มาจากนิกายชีอะห์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมุสลิมสายสุหนี่ ในยุคของ นายแช่ม พรหมยงค์ สมัยรัชกาลที่ 8

การคัดสรรจุฬาราชมนตรีคนใหม่ได้รับการกล่าวถึงอย่างคึกคัก การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ค.2553 นี้ โดยจะให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจาก 38 จังหวัด 740 คน เป็นผู้เสนอชื่อและลงคะแนน

รศ.ดร.อารง สุทธาศาสตร์ นักวิชาการอิสระ ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันโลกอิสลาม กล่าวถึงคุณสมบัติของจุฬาราชมนตรีคนต่อไปว่า จะต้องมีความเชี่ยวชาญอัลกุรอาน หะดิษ อีกทั้งต้องมีความเชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์อิสลาม ประวัติศาสตร์อิสลาม รวมถึงต้องมีความรอบรู้ด้านภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษด้วย

นอกจากนี้ จุฬาราชมนตรีจะต้องเป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับราชการและสังคมต่างศาสนิก และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือต้องเป็นผู้ที่ไม่มีความด่างพร้อยในทุกๆ ด้าน ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นจุฬาราชมนตรีให้มีความสง่างาม

เปิดโผแคนดิเดทจุฬาราชมนตรี

สำหรับผู้ที่คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นจุฬาราชมนตรีคนต่อไป และที่เปิดตัวอย่างชัดเจนแล้ว ประกอบด้วย

- ศ.ดร.อิมรอน มะลูลีม รองประธานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ประเทศอียิปต์ ก่อนจะไปจบปริญญาเอกจากประเทศอินเดีย ศ.ดร.อิมรอน เป็นหนึ่งในผู้ทรงวุฒิของอดีตจุฬาราชมนตรี มีสายสัมพันธ์ที่ดีทั้งกับฝ่ายการเมืองและในคณะกรรมการกลางอิสลามฯ แต่ด้วยบริบทที่เป็นนักวิชาการ ทำให้เป็นที่รู้จักในแวดวงนักวิชาการมากกว่าสายการเมือง

- นายทวี (ชาฟีอี) นภากร อิหม่ามประจำมูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ประเทศอียิปต์เช่นกัน ได้รับแรงหนุนอย่างเต็มที่จาก พิเชษฐ์ สถิรชวาล เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ในฐานะน้องเขยที่มีบทบาทสูงสุดในคณะกรรมการกลางอิสลามฯชุดนี้

- นายอาศีส พิทักษ์คุมพล ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เป็นตัวแทนจากภาคใต้ เปิดตัวชัดเจนแล้ว และมีฐานเสียงสนับสนุนจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในภาคใต้ตอนล่าง รวมถึงปัตตานี ยะลา นราธิวาส และภาคใต้ตอนกลางบางส่วน

- นายอรุณ บุญชม ประธานคณะกรรมการอิสลามกรุงเทพมหานคร จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาดินะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยมีฐานเสียงสนับสนุนจากสาย กทม.ที่มี นายสมัย เจริญช่าง ส.ส.กรุงเทพมหานรคร พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตประธานคณะกรรมการอิสลามกรุงเทพมหานคร ออกแรงเชียร์

- นายวินัย (มัรวาน) สะมะอุน อิหม่ามมัสยิดกามาลุลอิสลาม มีนบุรี อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย แม้จะห่างหายจากแวดวงคณะกรรมการกลางฯมานาน แต่ด้วยบทบาทการเป็นนักวิชาการด้านศาสนา และได้รับการยอมรับว่าเป็นนักประนีประนอมชั้นดี จึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แถมยังเคยมีบทบาทในหลายเวที ทั้งอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ทำให้ไม่อาจมองข้ามนายวินัยไปได้

- นายอรุณ (การีม) วันแอเลาะห์ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนนทบุรี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮัร ประเทศอียิปต์ ถือเป็นกลุ่มอำนาจเก่าที่มีสายสัมพันธ์กับเครือข่ายอดีตจุฬาราชมนตรี ได้รับแรงหนุนจากคณะกรรมการอิสลามสายภาคกลาง

อย่างไรก็ดี เมื่อมีการเลือกตั้ง ย่อมมีโอกาสที่การเมืองจะเข้ามาแทรกแซง และการคัดสรรผู้นำองค์กรศาสนาบางระดับในหลายๆ โอกาส ก็มี “การเมือง” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจริง โดยหวังจะให้เป็นฐานอำนาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

การคัดเลือกจุฬาราชมนตรีคนใหม่ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร กระแสการเมืองจะแรงแค่ไหน เพราะคาดว่าภายในไม่เกินสิ้นปีจะมีการเลือกตั้งใหม่ตามมา...

http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=324:-q-&catid=10:2009-11-15-11-15-01&Itemid=3


แนะนำตัวครับ-ยา

กระผมนายอับดุลเลาะ หวังหนิ ชื่อเล่นยา
เป็นช่างภาพของสำนักข่าว EPA และเป็นผู้สือข่าวอิสระของสมาคมข่าวนักนักหนังสาือพิมพิ์แห่งประเทศไทย